การเทพื้นคอนกรีตให้ได้กำลังอัดเหมาะสมเริ่มตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ การผสม การเท และการบ่มคอนกรีต
January 10, 2025

การเทพื้นคอนกรีตให้ได้มาตรฐานและแข็งแรงนั้น เริ่มต้นที่การเลือกค่ากำลังอัดที่เหมาะสม แต่หลายคนอาจสงสัยว่าควรเลือกใช้คอนกรีตที่มีกำลังอัดเท่าไรดีเพื่อให้เหมาะสมกับงาน นอกจากนี้ควรจะคำนวณปริมาณคอนกรีตเทพื้นอย่างไรให้ครอบคลุมที่สุด และมีปัจจัยหรือเทคนิคอะไรบ้างที่ต้องพิจารณาสำหรับงานเทพื้น บทความนี้ชวนคุณมารู้รอบเพื่อให้ได้งานเทพื้นคอนกรีตที่มีคุณภาพมากที่สุด

กำลังอัดคอนกรีตเทพื้น (Concrete Strength)

ความหมายของค่ากำลังอัด

กำลังอัดคอนกรีต คือ ค่าที่แสดงถึงความแข็งแรงของคอนกรีต ตัวเลขที่มากขึ้นหมายถึงค่าความแข็งแรงที่สูงขึ้น

ดังนั้นการเลือกค่ากำลังอัด หรือ Concrete Strength ของคอนกรีตเทพื้นที่เหมาะสมจะกำหนดอายุการใช้งานและความปลอดภัยของโครงสร้าง ช่วยให้งานมีคุณภาพและความคุ้มค่าในระยะยาว

นิยามของค่า ksc (กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร)

ค่า ksc (Kilogram Per Square Centimeter) เป็นหน่วยวัดมาตรฐานที่ใช้วัดความแข็งแรงของคอนกรีต คำนวณจากแรงกดต่อพื้นที่หนึ่งตารางเซนติเมตร เช่น คอนกรีต 240 ksc หมายถึงคอนกรีตที่สามารถรับแรงกดได้ 240 กิโลกรัมต่อพื้นที่หนึ่งตารางเซนติเมตร โดยการเลือกค่ากำลังอัด ที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและน้ำหนักที่ต้องรับ

ประเภทของกำลังอัดสำหรับงานเทพื้นคอนกรีต

คอนกรีตเทพื้นควรใช้กำลังอัดกี่ ksc ? การเลือกกำลังอัดคอนกรีตให้เหมาะสมกับการใช้งานแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

คอนกรีตเทพื้นทั่วไป (180-240 ksc)

เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานทั่วไป เช่น บ้านพักอาศัย ทางเดิน หรือลานจอดรถยนต์ส่วนบุคคล ให้ความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการใช้งานปกติ

คอนกรีตเทพื้นรับน้ำหนักมาก (280-320 ksc)

เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องรับน้ำหนักสูง เช่น โกดังสินค้า ลานจอดรถบรรทุก หรือโรงงานขนาดเล็ก มีความทนทานต่อการขูดขีดและการกระแทกได้ดี

คอนกรีตพิเศษสำหรับงานอุตสาหกรรม (>350 ksc)

ใช้สำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงพิเศษ เช่น พื้นโรงงานอุตสาหกรรมหนัก ลานขนถ่ายสินค้า หรือพื้นที่จอดเครื่องจักรขนาดใหญ่

จะเห็นได้ว่าค่ากำลังอัดที่แตกต่างกันจะมีความเหมาะสมกับงานพื้นคอนกรีตที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโครงการที่ทำอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้กำหนดค่ากำลังอัดในแบบก่อสร้าง เพื่อให้ได้งานพื้นคอนกรีตที่มีคุณภาพมาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

วิธีคำนวณพื้นที่และปริมาณคอนกรีตเทพื้น

การคำนวณปริมาณคอนกรีตเทพื้นที่ต้องใช้สำหรับโครงการ เป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนงานและการประมาณราคา โดยมีสูตรคำนวณพื้นฐานดังนี้

พื้นที่ = ความกว้าง x ความยาว

ปริมาณคอนกรีต = ความกว้าง x ความยาว x ความหนา

ตัวอย่างเช่น สำหรับพื้นที่กว้าง 15 เมตร ยาว 35 เมตร หนา 20 เซนติเมตร หรือ 0.2 เมตร

(ความหนาพื้นต้องแปลงหน่วยจากเซนติเมตรเป็นเมตร)

  • พื้นที่ = 15 x 35 = 525 ตารางเมตร
  • ปริมาณคอนกรีตที่ต้องใช้ = 15 x 35 x 0.2 = 105 ลูกบาศก์เมตร หรือ 105 คิว

ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณคอนกรีต

ความลาดเอียงของพื้น

ความลาดเอียงของพื้นมีผลต่อปริมาณคอนกรีตที่ต้องใช้ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความหนาที่เพิ่มขึ้นในจุดที่สูงกว่า ควรเผื่อปริมาณคอนกรีตเพิ่มประมาณ 10-15% สำหรับพื้นที่ลาดเอียง

การเผื่อการสูญเสีย

ควรเผื่อปริมาณคอนกรีตสำหรับการสูญเสียระหว่างการเทประมาณ 5-10% เพื่อรองรับการสูญเสียจากการติดค้างในรถผสม การกระเด็น หรือการเทเกินระดับที่ต้องการ

เทคนิคการเทพื้นคอนกรีตให้ได้มาตรฐาน

กำลังอัดคอนกรีตเทพื้นคือค่าที่แสดงถึงความแข็งแรงของคอนกรีต

การเทพื้นคอนกรีตให้ได้มาตรฐาน ต้องให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ไปจนถึงการบ่มคอนกรีต แต่ละขั้นตอนมีความสำคัญที่แตกต่างกันและต้องทำอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้พื้นคอนกรีตที่แข็งแรงและมีอายุการใช้งานยาวนาน

1. การเตรียมพื้นที่

การเตรียมพื้นที่เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เพราะจะส่งผลต่อความแข็งแรงและความทนทานของพื้นคอนกรีตในระยะยาว โดยการเตรียมพื้นที่มีขั้นตอนดังนี้

1. การเตรียมชั้นทรายรองพื้น

เริ่มจากการบดอัดดินให้แน่น จากนั้นปูทรายหยาบความหนา 5-10 เซนติเมตร และบดอัดให้แน่นด้วยเครื่องบดอัด ทรายรองพื้นจะช่วยระบายน้ำและป้องกันการทรุดตัวของพื้นคอนกรีต

2. การวางเหล็กเสริม

ต้องวางตะแกรงเหล็กให้ได้ระยะห่างที่เหมาะสมตามที่ออกแบบไว้ โดยทั่วไปใช้เหล็กตะแกรงขนาด 6 มิลลิเมตร ระยะห่าง 20×20 เซนติเมตร และต้องยกตะแกรงเหล็กให้ลอยจากพื้นประมาณ 5 เซนติเมตรด้วยปูนทรายหรือพลาสติกรอง

3. การตั้งระดับ

ใช้เอ็นเส้นเชือกขึงรอบพื้นที่เพื่อกำหนดความสูงของพื้นคอนกรีต และตั้งหมุดระดับทุก ๆ 2-3 เมตร เพื่อควบคุมความหนาของพื้นให้สม่ำเสมอ

2. ขั้นตอนการเทคอนกรีต

1. ผสมคอนกรีตตามมาตรฐาน

ต้องควบคุมอัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์ให้เหมาะสม โดยทั่วไปค่าการยุบตัว (Slump) ที่เหมาะสมสำหรับเทพื้นคอนกรีตควรอยู่ที่ 8-12 เซนติเมตร การผสมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาทีเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี

2. ใช้เทคนิคการเทคอนกรีตที่ถูกต้อง

เริ่มเทจากมุมที่ไกลที่สุดและเทต่อเนื่องมาหาทางออก เทคอนกรีตให้สูงกว่าระดับที่ต้องการเล็กน้อยเพื่อรองรับการยุบตัว ใช้เครื่องจี้เขย่าคอนกรีตเพื่อไล่ฟองอากาศและให้คอนกรีตแน่นตัว

3. การทำผิวหน้า

หลังจากคอนกรีตเริ่มแข็งตัว (ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังเทคอนกรีตแล้วเสร็จ) ใช้เกรียงไม้ปาดให้เรียบ ตามด้วยเกรียงเหล็กขัดมันเพื่อให้ผิวเรียบสวย สำหรับพื้นที่ต้องการความหยาบเพื่อกันลื่น สามารถใช้แปรงลายหรือไม้กวาดทำลวดลายได้

4. การบ่มคอนกรีตอย่างถูกวิธี

การบ่มคอนกรีตเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้คอนกรีตแข็งแรงตามที่ออกแบบไว้ ควรเริ่มบ่มทันทีที่คอนกรีตเริ่มแข็งตัวโดยการขังน้ำ ฉีดน้ำหรือคลุมด้วยกระสอบป่านชุบน้ำ

3. ระยะเวลาการบ่ม

การบ่มคอนกรีตต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลา 7-14 วัน โดยในช่วง 3 วันแรกเป็นช่วงสำคัญที่สุด และจะต้องรักษาความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ผิวคอนกรีตแห้ง

4. วิธีการบ่มที่ถูกต้อง

การบ่มคอนกรีต มี 3 ลักษณะ คือการเพิ่มความชื้นให้คอนกรีต การป้องกันการสูญเสียน้ำของคอนกรีต และการเร่งกำลังอัด โดยแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับสภาพการใช้งานที่แตกต่างกัน

1. การบ่มโดยเพิ่มความชื้นให้คอนกรีต

การบ่มลักษณะนี้จะเพิ่มความชื้นให้แก่ผิวคอนกรีตโดยตรง เพื่อทดแทนการระเหยของน้ำออกจากคอนกรีต ซึ่งทำได้หลายวิธีคือ การขังน้ำ การฉีดน้ำหรือรดน้ำ และการคลุมด้วยวัสดุเปียกชื้น โดยวิธีนี้จะช่วยให้คอนกรีตพัฒนากำลังอัดได้อย่างเต็มที่ และเหมาะสำหรับงานพื้นทั่วไป

2. การบ่มโดยป้องกันการสูญเสียน้ำจากเนื้อคอนกรีต

วิธีการนี้ใช้การผนึกผิวของคอนกรีต เพื่อป้องกันมิให้ความชื้นจากคอนกรีตระเหยออกจากเนื้อคอนกรีต ซึ่งทำได้หลายวิธี คือ การบ่มในแบบหล่อ การใช้กระดาษกันน้ำซึม การใช้แผ่นผ้าพลาสติกคลุม และการใช้สารเคมีเคลือบผิวคอนกรีต วิธีนี้เหมาะกับงานที่มีพื้นที่มาก หรือสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง

3. การบ่มแบบเร่งกำลังอัดหรือการบ่มคอนกรีตที่อุณหภูมิสูง

การบ่มแบบเร่งกำลังอัด จะใช้ความร้อนหรือไอน้ำในการเร่งปฏิกิริยาไฮเดรชัน ทำให้สามารถเร่งอัตราการเพิ่มกำลังอัดได้อย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูป เช่น ท่อ คาน และแผ่นพื้น เป็นต้น จึงมักใช้ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป

5. การป้องกันปัญหาที่พบบ่อย

การป้องกันปัญหาที่พบบ่อยในงานเทพื้นคอนกรีต สามารถทำได้โดยการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนการทำงาน โดยนี่คือปัญหาที่พบได้บ่อยในการเทพื้นคอนกรีตและแนวทางป้องกัน

  • การแตกร้าว สาเหตุหลักมาจากการหดตัวของคอนกรีต การบ่มที่ไม่ดีพอ หรือการรับน้ำหนักเร็วเกินไป ป้องกันได้โดยการทำร่องควบคุมรอยแตก (Control Joint) ทุก ๆ 3-4 เมตร
  • การยุบตัว มักเกิดจากการบดอัดชั้นดินรองพื้นไม่ดีพอ หรือใช้น้ำผสมคอนกรีตมากเกินไป ป้องกันโดยการเตรียมชั้นพื้นทรายให้แน่น และควบคุมปริมาณน้ำในส่วนผสมให้เหมาะสม
  • การเยิ้มน้ำ เกิดจากน้ำในคอนกรีตลอยตัวขึ้นมาบนผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่แข็งแรง แก้ไขโดยการรอให้น้ำที่เยิ้มระเหยหรือทำการดูดซับน้ำเยิ้มที่ผิวหน้าคอนกรีตก่อนขัดผิวหน้า
  • ผิวหน้าคอนกรีตหลุดร่อน มักเกิดจากการขัดผิวเร็วเกินไป หรือใช้น้ำมากเกินไปตอนขัดผิว ป้องกันโดยการรอให้คอนกรีตแข็งถึงจุดที่เหมาะสมก่อนขัดผิว และไม่พรมน้ำมากเกินไปขณะขัดผิว

ให้การเทพื้นคอนกรีตเป็นเรื่องง่ายกับ ORC Premier ผู้เชี่ยวชาญด้านคอนกรีตผสมเสร็จคุณภาพสูง เรายินดีให้คำปรึกษาฟรีโดยทีมวิศวกรมืออาชีพ พร้อมบริการจัดส่งรวดเร็ว ตรงเวลา ด้วยรถคอนกรีตที่มีให้เลือกทุกขนาดตามความต้องการ มั่นใจได้ในคุณภาพด้วยการควบคุมจากวิศวกรถึงหน้างาน

สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับเทพื้นได้ผ่านช่องทางเหล่านี้

Tel: 061-558-5558 หรือ 02-559-0091

E-mail: hello@orcpremier.com

LINE: @ORCCONCRETE

Facebook: ORC คอนกรีต

ข้อมูลอ้างอิง

  1. How to Pour a Concrete Floor. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จาก https://www.homebuilding.co.uk/advice/how-to-pour-a-concrete-floor