การเทพื้นคอนกรีตให้ได้มาตรฐานและแข็งแรงนั้น เริ่มต้นที่การเลือกค่ากำลังอัดที่เหมาะสม แต่หลายคนอาจสงสัยว่าควรเลือกใช้คอนกรีตที่มีกำลังอัดเท่าไรดีเพื่อให้เหมาะสมกับงาน นอกจากนี้ควรจะคำนวณปริมาณคอนกรีตเทพื้นอย่างไรให้ครอบคลุมที่สุด และมีปัจจัยหรือเทคนิคอะไรบ้างที่ต้องพิจารณาสำหรับงานเทพื้น บทความนี้ชวนคุณมารู้รอบเพื่อให้ได้งานเทพื้นคอนกรีตที่มีคุณภาพมากที่สุด
กำลังอัดคอนกรีตเทพื้น (Concrete Strength)
ความหมายของค่ากำลังอัด
กำลังอัดคอนกรีต คือ ค่าที่แสดงถึงความแข็งแรงของคอนกรีต ตัวเลขที่มากขึ้นหมายถึงค่าความแข็งแรงที่สูงขึ้น
ดังนั้นการเลือกค่ากำลังอัด หรือ Concrete Strength ของคอนกรีตเทพื้นที่เหมาะสมจะกำหนดอายุการใช้งานและความปลอดภัยของโครงสร้าง ช่วยให้งานมีคุณภาพและความคุ้มค่าในระยะยาว
นิยามของค่า ksc (กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร)
ค่า ksc (Kilogram Per Square Centimeter) เป็นหน่วยวัดมาตรฐานที่ใช้วัดความแข็งแรงของคอนกรีต คำนวณจากแรงกดต่อพื้นที่หนึ่งตารางเซนติเมตร เช่น คอนกรีต 240 ksc หมายถึงคอนกรีตที่สามารถรับแรงกดได้ 240 กิโลกรัมต่อพื้นที่หนึ่งตารางเซนติเมตร โดยการเลือกค่ากำลังอัด ที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและน้ำหนักที่ต้องรับ
ประเภทของกำลังอัดสำหรับงานเทพื้นคอนกรีต
คอนกรีตเทพื้นควรใช้กำลังอัดกี่ ksc ? การเลือกกำลังอัดคอนกรีตให้เหมาะสมกับการใช้งานแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
คอนกรีตเทพื้นทั่วไป (180-240 ksc)
เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานทั่วไป เช่น บ้านพักอาศัย ทางเดิน หรือลานจอดรถยนต์ส่วนบุคคล ให้ความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการใช้งานปกติ
คอนกรีตเทพื้นรับน้ำหนักมาก (280-320 ksc)
เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องรับน้ำหนักสูง เช่น โกดังสินค้า ลานจอดรถบรรทุก หรือโรงงานขนาดเล็ก มีความทนทานต่อการขูดขีดและการกระแทกได้ดี
คอนกรีตพิเศษสำหรับงานอุตสาหกรรม (>350 ksc)
ใช้สำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงพิเศษ เช่น พื้นโรงงานอุตสาหกรรมหนัก ลานขนถ่ายสินค้า หรือพื้นที่จอดเครื่องจักรขนาดใหญ่
จะเห็นได้ว่าค่ากำลังอัดที่แตกต่างกันจะมีความเหมาะสมกับงานพื้นคอนกรีตที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโครงการที่ทำอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้กำหนดค่ากำลังอัดในแบบก่อสร้าง เพื่อให้ได้งานพื้นคอนกรีตที่มีคุณภาพมาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
วิธีคำนวณพื้นที่และปริมาณคอนกรีตเทพื้น
การคำนวณปริมาณคอนกรีตเทพื้นที่ต้องใช้สำหรับโครงการ เป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนงานและการประมาณราคา โดยมีสูตรคำนวณพื้นฐานดังนี้
พื้นที่ = ความกว้าง x ความยาว
ปริมาณคอนกรีต = ความกว้าง x ความยาว x ความหนา
ตัวอย่างเช่น สำหรับพื้นที่กว้าง 15 เมตร ยาว 35 เมตร หนา 20 เซนติเมตร หรือ 0.2 เมตร
(ความหนาพื้นต้องแปลงหน่วยจากเซนติเมตรเป็นเมตร)
- พื้นที่ = 15 x 35 = 525 ตารางเมตร
- ปริมาณคอนกรีตที่ต้องใช้ = 15 x 35 x 0.2 = 105 ลูกบาศก์เมตร หรือ 105 คิว
ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณคอนกรีต
ความลาดเอียงของพื้น
ความลาดเอียงของพื้นมีผลต่อปริมาณคอนกรีตที่ต้องใช้ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความหนาที่เพิ่มขึ้นในจุดที่สูงกว่า ควรเผื่อปริมาณคอนกรีตเพิ่มประมาณ 10-15% สำหรับพื้นที่ลาดเอียง
การเผื่อการสูญเสีย
ควรเผื่อปริมาณคอนกรีตสำหรับการสูญเสียระหว่างการเทประมาณ 5-10% เพื่อรองรับการสูญเสียจากการติดค้างในรถผสม การกระเด็น หรือการเทเกินระดับที่ต้องการ
เทคนิคการเทพื้นคอนกรีตให้ได้มาตรฐาน
การเทพื้นคอนกรีตให้ได้มาตรฐาน ต้องให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ไปจนถึงการบ่มคอนกรีต แต่ละขั้นตอนมีความสำคัญที่แตกต่างกันและต้องทำอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้พื้นคอนกรีตที่แข็งแรงและมีอายุการใช้งานยาวนาน
1. การเตรียมพื้นที่
การเตรียมพื้นที่เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เพราะจะส่งผลต่อความแข็งแรงและความทนทานของพื้นคอนกรีตในระยะยาว โดยการเตรียมพื้นที่มีขั้นตอนดังนี้
1. การเตรียมชั้นทรายรองพื้น
เริ่มจากการบดอัดดินให้แน่น จากนั้นปูทรายหยาบความหนา 5-10 เซนติเมตร และบดอัดให้แน่นด้วยเครื่องบดอัด ทรายรองพื้นจะช่วยระบายน้ำและป้องกันการทรุดตัวของพื้นคอนกรีต
2. การวางเหล็กเสริม
ต้องวางตะแกรงเหล็กให้ได้ระยะห่างที่เหมาะสมตามที่ออกแบบไว้ โดยทั่วไปใช้เหล็กตะแกรงขนาด 6 มิลลิเมตร ระยะห่าง 20×20 เซนติเมตร และต้องยกตะแกรงเหล็กให้ลอยจากพื้นประมาณ 5 เซนติเมตรด้วยปูนทรายหรือพลาสติกรอง
3. การตั้งระดับ
ใช้เอ็นเส้นเชือกขึงรอบพื้นที่เพื่อกำหนดความสูงของพื้นคอนกรีต และตั้งหมุดระดับทุก ๆ 2-3 เมตร เพื่อควบคุมความหนาของพื้นให้สม่ำเสมอ
2. ขั้นตอนการเทคอนกรีต
1. ผสมคอนกรีตตามมาตรฐาน
ต้องควบคุมอัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์ให้เหมาะสม โดยทั่วไปค่าการยุบตัว (Slump) ที่เหมาะสมสำหรับเทพื้นคอนกรีตควรอยู่ที่ 8-12 เซนติเมตร การผสมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาทีเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี
2. ใช้เทคนิคการเทคอนกรีตที่ถูกต้อง
เริ่มเทจากมุมที่ไกลที่สุดและเทต่อเนื่องมาหาทางออก เทคอนกรีตให้สูงกว่าระดับที่ต้องการเล็กน้อยเพื่อรองรับการยุบตัว ใช้เครื่องจี้เขย่าคอนกรีตเพื่อไล่ฟองอากาศและให้คอนกรีตแน่นตัว
3. การทำผิวหน้า
หลังจากคอนกรีตเริ่มแข็งตัว (ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังเทคอนกรีตแล้วเสร็จ) ใช้เกรียงไม้ปาดให้เรียบ ตามด้วยเกรียงเหล็กขัดมันเพื่อให้ผิวเรียบสวย สำหรับพื้นที่ต้องการความหยาบเพื่อกันลื่น สามารถใช้แปรงลายหรือไม้กวาดทำลวดลายได้
4. การบ่มคอนกรีตอย่างถูกวิธี
การบ่มคอนกรีตเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้คอนกรีตแข็งแรงตามที่ออกแบบไว้ ควรเริ่มบ่มทันทีที่คอนกรีตเริ่มแข็งตัวโดยการขังน้ำ ฉีดน้ำหรือคลุมด้วยกระสอบป่านชุบน้ำ
3. ระยะเวลาการบ่ม
การบ่มคอนกรีตต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลา 7-14 วัน โดยในช่วง 3 วันแรกเป็นช่วงสำคัญที่สุด และจะต้องรักษาความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ผิวคอนกรีตแห้ง
4. วิธีการบ่มที่ถูกต้อง
การบ่มคอนกรีต มี 3 ลักษณะ คือการเพิ่มความชื้นให้คอนกรีต การป้องกันการสูญเสียน้ำของคอนกรีต และการเร่งกำลังอัด โดยแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับสภาพการใช้งานที่แตกต่างกัน
1. การบ่มโดยเพิ่มความชื้นให้คอนกรีต
การบ่มลักษณะนี้จะเพิ่มความชื้นให้แก่ผิวคอนกรีตโดยตรง เพื่อทดแทนการระเหยของน้ำออกจากคอนกรีต ซึ่งทำได้หลายวิธีคือ การขังน้ำ การฉีดน้ำหรือรดน้ำ และการคลุมด้วยวัสดุเปียกชื้น โดยวิธีนี้จะช่วยให้คอนกรีตพัฒนากำลังอัดได้อย่างเต็มที่ และเหมาะสำหรับงานพื้นทั่วไป
2. การบ่มโดยป้องกันการสูญเสียน้ำจากเนื้อคอนกรีต
วิธีการนี้ใช้การผนึกผิวของคอนกรีต เพื่อป้องกันมิให้ความชื้นจากคอนกรีตระเหยออกจากเนื้อคอนกรีต ซึ่งทำได้หลายวิธี คือ การบ่มในแบบหล่อ การใช้กระดาษกันน้ำซึม การใช้แผ่นผ้าพลาสติกคลุม และการใช้สารเคมีเคลือบผิวคอนกรีต วิธีนี้เหมาะกับงานที่มีพื้นที่มาก หรือสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง
3. การบ่มแบบเร่งกำลังอัดหรือการบ่มคอนกรีตที่อุณหภูมิสูง
การบ่มแบบเร่งกำลังอัด จะใช้ความร้อนหรือไอน้ำในการเร่งปฏิกิริยาไฮเดรชัน ทำให้สามารถเร่งอัตราการเพิ่มกำลังอัดได้อย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูป เช่น ท่อ คาน และแผ่นพื้น เป็นต้น จึงมักใช้ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป
5. การป้องกันปัญหาที่พบบ่อย
การป้องกันปัญหาที่พบบ่อยในงานเทพื้นคอนกรีต สามารถทำได้โดยการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนการทำงาน โดยนี่คือปัญหาที่พบได้บ่อยในการเทพื้นคอนกรีตและแนวทางป้องกัน
- การแตกร้าว สาเหตุหลักมาจากการหดตัวของคอนกรีต การบ่มที่ไม่ดีพอ หรือการรับน้ำหนักเร็วเกินไป ป้องกันได้โดยการทำร่องควบคุมรอยแตก (Control Joint) ทุก ๆ 3-4 เมตร
- การยุบตัว มักเกิดจากการบดอัดชั้นดินรองพื้นไม่ดีพอ หรือใช้น้ำผสมคอนกรีตมากเกินไป ป้องกันโดยการเตรียมชั้นพื้นทรายให้แน่น และควบคุมปริมาณน้ำในส่วนผสมให้เหมาะสม
- การเยิ้มน้ำ เกิดจากน้ำในคอนกรีตลอยตัวขึ้นมาบนผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่แข็งแรง แก้ไขโดยการรอให้น้ำที่เยิ้มระเหยหรือทำการดูดซับน้ำเยิ้มที่ผิวหน้าคอนกรีตก่อนขัดผิวหน้า
- ผิวหน้าคอนกรีตหลุดร่อน มักเกิดจากการขัดผิวเร็วเกินไป หรือใช้น้ำมากเกินไปตอนขัดผิว ป้องกันโดยการรอให้คอนกรีตแข็งถึงจุดที่เหมาะสมก่อนขัดผิว และไม่พรมน้ำมากเกินไปขณะขัดผิว
ให้การเทพื้นคอนกรีตเป็นเรื่องง่ายกับ ORC Premier ผู้เชี่ยวชาญด้านคอนกรีตผสมเสร็จคุณภาพสูง เรายินดีให้คำปรึกษาฟรีโดยทีมวิศวกรมืออาชีพ พร้อมบริการจัดส่งรวดเร็ว ตรงเวลา ด้วยรถคอนกรีตที่มีให้เลือกทุกขนาดตามความต้องการ มั่นใจได้ในคุณภาพด้วยการควบคุมจากวิศวกรถึงหน้างาน
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับเทพื้นได้ผ่านช่องทางเหล่านี้
Tel: 061-558-5558 หรือ 02-559-0091
E-mail: hello@orcpremier.com
LINE: @ORCCONCRETE
Facebook: ORC คอนกรีต
ข้อมูลอ้างอิง
- How to Pour a Concrete Floor. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จาก https://www.homebuilding.co.uk/advice/how-to-pour-a-concrete-floor